- Home
- Blog
- Online Marketing
- ชวนรู้จัก E-Commerce Marketing พร้อมแชร์กลยุทธ์สุดปังที่คุณควรรู้
ชวนรู้จัก E-Commerce Marketing พร้อมแชร์กลยุทธ์สุดปังที่คุณควรรู้

โลกการค้าออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังยุคโควิด เมื่อผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ทำให้ E-Commerce Marketing กลายเป็นอาวุธสำคัญของธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าอย่างตรงจุด บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของการตลาดอีคอมเมิร์ซพร้อมกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจคุณแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
E-Commerce Marketing คืออะไร
E-Commerce Marketing คือการทำการตลาดในรูปแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เน้นการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ อาทิ เว็บไซต์ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หรือแอปพลิเคชัน ซึ่งไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง แต่ยังสามารถวัดผลและปรับกลยุทธ์ได้แบบเรียลไทม์
ประเภทธุรกิจของ E-Commerce Marketing
E-Commerce Marketing แบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ละรูปแบบมีจุดเด่นและกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกัน
B2C – Business to Consumer
B2C เป็นรูปแบบธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการตรงจากธุรกิจสู่ผู้บริโภคคนสุดท้าย โดยมักเน้นการตัดสินใจซื้อที่รวดเร็ว ราคาต่อชิ้นสูงกว่า B2B และเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีเพื่อดึงดูดลูกค้ารายย่อย เช่น ร้านเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือร้านขายของชำออนไลน์
B2B – Business to Business
B2B คือการซื้อขายระหว่างธุรกิจด้วยกันเอง มักมีมูลค่าสูงและปริมาณการสั่งซื้อมาก เน้นความสัมพันธ์ระยะยาวและต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำกว่า ธุรกิจประเภทนี้ต้องการข้อมูลเชิงลึกมากกว่า B2C และมีกระบวนการตัดสินใจซื้อที่ซับซ้อนกว่า
B2G – Business to Government
B2G เป็นการทำธุรกิจระหว่างบริษัทเอกชนกับหน่วยงานภาครัฐ มักเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง โครงการรับเหมา ซึ่งปัจจุบันมีระบบจัดซื้อจัดจ้างออนไลน์ (e-Government Procurement) ที่ทำให้เข้าถึงได้ง่ายและโปร่งใสมากขึ้น
G2G – Government to Government
G2G คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือบริการระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเอง เช่น การแชร์ข้อมูลระหว่างกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดความซ้ำซ้อนของระบบราชการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
C2C – Customer to Consumer
C2C เป็นการซื้อขายระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเอง โดยไม่ผ่านคนกลาง เช่น แพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้ามือสอง บ้าน คอนโด หนังสือ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้คนทั่วไปสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้โดยตรง
G2C – Government to Consumer
G2C คือบริการจากภาครัฐสู่ประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การยื่นภาษี การทำทะเบียนราษฎร์ หรือการให้ข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
ข้อดีและข้อจำกัดของ E-Commerce Marketing
การทำ E-Commerce Marketing มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ธุรกิจควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อวางแผนรับมือกับความท้าทายและใช้ประโยชน์จากโอกาสได้อย่างเต็มที่
ข้อดีของการใช้ E-Commerce Marketing
- เข้าถึงตลาดทั่วโลก – สามารถขายสินค้าให้ลูกค้าได้ทุกที่ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์
- ลดต้นทุนการดำเนินงาน – ประหยัดค่าเช่าร้าน ค่าตกแต่งสถานที่ และค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้า
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาด – วัดผลได้แม่นยำ ปรับกลยุทธ์ได้รวดเร็ว และใช้ข้อมูลลูกค้าพัฒนาสินค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
- สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า – ลูกค้าสามารถค้นหาข้อมูลสินค้า เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
- เปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็ก – ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถแข่งขันในตลาดได้โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่าร้านค้าแบบดั้งเดิม
ข้อจำกัดของการใช้ E-Commerce Marketing
- ความกังวลด้านความปลอดภัย – ลูกค้าอาจกังวลเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลบัตรเครดิต
- ขาดประสบการณ์จับต้องสินค้า – ลูกค้าไม่สามารถทดลองหรือสัมผัสสินค้าก่อนซื้อเหมือนร้านค้าทั่วไป
- การแข่งขันสูง – ตลาด E-Commerce มีคู่แข่งจำนวนมากและเข้าถึงได้ง่าย ทำให้การสร้างความแตกต่างเป็นเรื่องยาก
- ความท้าทายด้านโลจิสติกส์ – การจัดการสินค้าคงคลัง การจัดส่ง และการคืนสินค้าอาจซับซ้อน
- ข้อกังวลด้านกฎหมาย – ต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและกฎหมายระหว่างประเทศที่หลากหลาย
ช่องทางการทำ E-Commerce Marketing ที่น่าสนใจ
การเลือกช่องทางทำ E-Commerce Marketing ที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ธุรกิจควรวิเคราะห์พฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ทางการตลาดเพื่อเลือกช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
Email Marketing
Email Marketing เป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงและคุ้มค่าสำหรับ E-Commerce เพราะสามารถส่งข้อเสนอพิเศษ แคตตาล็อกสินค้า หรือแนะนำโปรโมชันใหม่ ๆ ไปยังลูกค้าได้โดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ
Social Media Marketing
Social Media Marketing ช่วยให้แบรนด์สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยม เช่น Facebook, Instagram, TikTok หรือ LINE นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Social Commerce ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากแพลตฟอร์ม
Affiliate Marketing
Affiliate Marketing เป็นการทำการตลาดโดยให้ตัวแทน (Affiliate) ช่วยโปรโมทสินค้าหรือบริการแล้วรับค่าคอมมิชชันตามยอดขายที่เกิดขึ้น วิธีนี้ช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายโดยที่ธุรกิจจ่ายเงินเฉพาะเมื่อเกิดการขายจริงเท่านั้น
Search Engine Marketing (SEM)
SEM คือการทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาโดยการซื้อโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาอันดับต้น ๆ เมื่อผู้ใช้พิมพ์คำค้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าที่มีความตั้งใจซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็ว
Search Engine Optimisation (SEO)
SEO เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้ติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหาแบบออร์แกนิค (ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา) ช่วยให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและได้รับทราฟิกคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่าแม้ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล
9 กลยุทธ์เพื่อการทำ E-Commerce Marketing ให้สำเร็จ
การทำ E-Commerce Marketing ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบและกลยุทธ์ที่เหมาะสม นี่คือ 9 กลยุทธ์ที่จะช่วยยกระดับการตลาดออนไลน์ของคุณให้โดดเด่น
1. เข้าใจ Sales Funnel
Sales Funnel คือกระบวนการตั้งแต่ลูกค้ารู้จักแบรนด์จนถึงการตัดสินใจซื้อ แบ่งเป็น 3 ขั้น: Awareness (สร้างการรับรู้), Consideration (สร้างความสนใจ) และ Conversion (กระตุ้นการซื้อ) การเข้าใจแต่ละขั้นช่วยให้คุณวางกลยุทธ์การตลาดได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. รู้จักลูกค้าให้ลึกด้วย E-commerce Tracking
การใช้เครื่องมือ E-commerce Tracking ช่วยให้คุณเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า เช่น การเข้าชมเว็บไซต์ สินค้าที่คลิกดู หรือรูปแบบการสั่งซื้อ เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น
3. เลือกใช้ Metrics วัดผลแคมเปญ
การวัดผลด้วย Metrics ที่เหมาะสมช่วยให้คุณประเมินความสำเร็จของแคมเปญได้อย่างแม่นยำ เช่น CTR (อัตราการคลิก), CVR (อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า), CPA (ต้นทุนต่อการได้ลูกค้า) หรือ ROAS (ผลตอบแทนจากการลงโฆษณา)
4. ออกแบบคอนเทนต์โฆษณาให้ขายได้จริง
โฆษณาที่ดีต้องไม่เพียงสวยงามแต่ต้องกระตุ้นให้เกิดการซื้อ ควรเน้นประโยชน์ของสินค้า สื่อสารจุดขายที่แตกต่าง และมี Call-to-Action ที่ชัดเจน สร้างคอนเทนต์ที่เน้นคุณค่ามากกว่าการขายตรง ๆ
5. ออกแบบกลยุทธ์สำหรับแต่ละช่วงเวลา
ธุรกิจ E-Commerce ควรวางแผนการตลาดล่วงหน้าสำหรับแต่ละช่วงเวลาสำคัญ เช่น เทศกาลปีใหม่ วันแม่ หรือโอกาสพิเศษต่าง ๆ เพื่อเตรียมโปรโมชันและแคมเปญที่ตรงใจลูกค้าในช่วงที่มีกำลังซื้อสูง
6. Personalized Marketing
Personalized Marketing คือการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อนำเสนอประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้ลูกค้า โดยวิเคราะห์จากข้อมูลประวัติการซื้อ พฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ หรือข้อมูลประชากรศาสตร์ ช่วยเพิ่มอัตราการซื้อซ้ำและสร้างความผูกพันกับแบรนด์
7. การใช้ AI
AI กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของ E-Commerce Marketing ด้วย Chatbot ตอบคำถาม 24 ชั่วโมง ระบบแนะนำสินค้าที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน หรือเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า
8. ไม่ลุยเดี่ยว ถ้าไม่เชี่ยวชาญจริง
การตลาดออนไลน์เป็นศาสตร์ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว การทำงานเป็นทีมโดยรวบรวมผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านจะช่วยให้คุณพัฒนากลยุทธ์ที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากกว่าการพยายามทำทุกอย่างเองโดยลำพัง
9. พึ่งพาผู้เชี่ยวชาญ อย่าฝืนจนเกินไป
หากธุรกิจของคุณไม่มีความเชี่ยวชาญด้าน E-Commerce Marketing การพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากร Insightout Service เป็นทางเลือกที่เหมาะสมด้วยบริการแบบ Craft & Conversion ที่การันตีผลลัพธ์ด้วย ROAS และ ROI ชัดเจน พร้อมทีมงานมืออาชีพที่จะวางกลยุทธ์ให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน
สรุปบทความ
E-Commerce Marketing เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์เติบโตท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง การใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมและทันสมัยจะช่วยให้คุณสร้างความแตกต่างและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจการทำการตลาดออนไลน์อย่างลึกซึ้ง Insightout Service พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจคุณด้วยบริการแบบ Craft & Conversion ที่การันตีผลลัพธ์ด้วย ROAS และ ROI ที่วัดผลได้จริง